สอนแนวทางการสร้างแบรนด์บนโลก E-commerce

การสร้างแบรนด์ไม่ใช่เรื่องยาก ขอให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง

บทความและวีดีโอนี้ จะสอนให้เราเข้าใจการสร้างแบรนด์บนโลก E-commerce ได้อย่างมืออาชีพ

---

8 เทคนิคการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและยั่งยืน

1. แบรนด์ต้องมีความ Unique - Different - Distinctive

E-commerce ที่ดี แบรนด์ต้องมีความชัดเจน และโดดเด่น

แปลว่า แบรนด์ที่ดีต้องมีความแตกต่าง แบบจับต้องได้ เห็นความแตกต่างด้วยตาเปล่า

เช่น นุ่มกว่า น้ำหนักเบากว่า ถูกกว่า ประหยัดกว่า

ความแตกต่างแบบนี้ จะทำให้ลูกค้าจดจำได้ แบ่งแยกได้ และจดจำแบรนด์ของเราได้ 

2. ความแตกต่างของแบรนด์ต้อง Impact

คำว่า Impact หมายถึง ส่งผลกระทบแบบวัดผลได้

ดังนั้น เราควรสร้างสินค้าหรือบริการที่มีคุณสมบัติในการกระทบลูกค้าแบบวัดผลได้

ยกตัวอย่าง เราขายโซฟาเพื่อสุขภาพ เมื่อลูกค้าซื้อโซฟาของเราไป ปรากฏว่าเขาหายปวดหลัง

เคสนี้ถือว่า สินค้าของเราเป็น Impact สำหรับลูกค้าทันที และแน่นอนว่า ถ้าสินค้าดีจริง ย่อมมีการบอกต่อ

ดังนั้น เราต้องทำให้คุณสมบัติของสินค้ามี Impact เป็นหลัก ซึ่งถือว่าสำคัญที่สุด

3. เราต้องสร้าง Story ของแบรนด์ให้ชัดเจน

การสร้าง Story มีความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ในการเริ่มพัฒนาสินค้าหรือบริการ

หากผู้ขายไม่มีแรงบันดาลใจในการพัฒนาสินค้า ย่อมไม่มีการอัพเดตหรือพัฒนาสินค้าในปีต่อ ๆ ไป

และจะโดนคู่แข่งแซงหน้า และดีกว่าในที่สุด

ยกตัวอย่าง คุณแม่ลูก 2 มีปัญหาด้านถุงเก็บนมแม่ ซึ่งถุงนมผลิตจากพลาสติก ซึ่งมีสารอันตรายผสมอยู่

คุณแม่คนนี้จึงอยากได้ถุงนม ที่ทำจากพลาสติกปลอดสารพิษ จึงตัดสินใจสั่งโรงงานผลิตสินค้าตามที่ตนเองต้องการ

หลังจากผลิตเสร็จแล้ว จึงตัดสินใจขายถุงนมที่ผลิตเกินออกมา และผลลัพธ์คือ 

คุณแม่ที่มีปัญหาแบบเดียวกัน และต้องการสินค้าออแกร์นิค ชื่นชอบสินค้าชิ้นนี้มาก และสินค้าชิ้นนี้ก็ขายดีมากเช่นกัน

สุดท้าย คุณแม่ลูก 2 จึงได้ธุรกิจใหม่ ซึ่งเกิดจาก Story ส่วนตัวของตนเอง 

นี่คือตัวอย่างของการสร้าง Story ที่สร้างยอดขายสูงมากในอนาคต แบบที่ตนเองไม่ได้ตั้งใจ ดั่งคำที่ว่า

เพียงคุณมี Passion กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ชีวิตคุณก็จะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอย่างแน่นอน

4. ทำให้คนอื่นเห็นความแตกต่างของเรา  e commerce marketing

การทำการตลาดออนไลน์ ถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการหาลูกค้าเพิ่มเติมให้กับธุรกิจของเรา

ลองคิดภาพว่า ถ้าเรามีสินค้าที่ดีที่สุดในโลก แต่ไม่มีใครเห็นคุณ มันจะมีประโยชน์อะไร เพราะยอดขายย่อมไม่เกิด รายได้ก็ย่อมไม่มี

ดังนั้น เราอาจจะไม่จำเป็นต้องมีสินค้าที่ดีที่สุด แต่ขอให้มีสินค้าคุณภาพกลาง ๆ แต่ทำการตลาดเป็น มีฝีมือ ก็จะเพิ่มยอดขายได้อย่างไม่ยากเย็น

ธุรกิจไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องเข้าใจ

ถ้าเราเชี่ยวชาญการทำ Google เราอาจจะสร้างยอดขายได้หลักแสนบาท

แต่หากเราเพิ่มความเชี่ยวชาญด้าน Facebook ด้วย เราอาจจะได้ยอดขายเพิ่มเติมอีกหลายแสนบาทก็ได้

ดังนั้น ธุรกิจ ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุด อยู่ที่เราจะหาตลาดใหม่ ๆ ได้อย่างไร จำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อที่จะทำ E-commerce ได้อย่างสมบูรณ์แบบมากที่สุด

5. ตรวจสอบสิ่งที่ทำลงไปด้วย Google Analytic

การทำตลาดออนไลน์ หากเราเน้นทำตลาดผ่าน Google, Facebook แต่ไม่เคยเช็คผลลัพธ์

ถือเป็นความประมาทขั้นรุนแรง และอาจจะทำให้ธุรกิจประสบความล้มเหลวก็เป็นได้

ธุรกิจที่ดี ควรจะลุยหน้าบ้าน พร้อมกับคุมหลังบ้านอย่างมืออาชีพ

การใช้ Google Analytics ถือเป็นการตรวจเช็ค จำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์ ระยะเวลาในการเข้าชม แหล่งที่มาของการเข้าชม

ซึ่งถือว่า มีความสำคัญมากที่สุด เพราะเราจะรู้ว่า การตลาดแบบใดที่เราควรจะโฟกัส และเพิ่มงบประมาณให้มัน

เห็นไหมว่า ไม่มีอะไรยาก ขอให้เราเข้าใจคอนเซปต์การทำธุรกิจ ธุรกิจนั้นจะเติบโตทันที 

6. มุ่งสู่โลกออฟไลน์

แน่นอนว่า การทำธุรกิจโดยหวังพึ่งแต่โลกออนไลน์ ย่อมมีความเสี่ยง

ธุรกิจที่ดี ต้องบาลานซ์ระหว่างโลกออนไลน์ และโลกออฟไลน์

โลกออฟไลน์ หมายถึง การเปิดหน้าร้าน การรับตัวแทนโดยการมีโอกาสพูดคุยกัน การขายส่งแบบเจอหน้ากัน

ดังนั้น หากคุณเริ่มรู้สึกว่า ยอดขายเริ่มตัน ไม่คืบหน้า ไปต่อไม่ได้ คุณอาจจะจำเป็นต้องเปิดหน้าร้าน เพื่อให้ยอดขายเพิ่มเป็นอันดับแรก

หลายคนเชื่อว่า การทำ E-commerce คือการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ โดยไม่ต้องเจอลูกค้า ทำงานในโลกเสมือนจริง โดยปลีกวิเวก นั่งอยู่ในป่าก็ได้เงิน ไปทะเลก็ได้เงิน

ความเชื่อนี้ ก็มีความเป็นจริงอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ธุรกิจที่ดีต้องผสมผสานกัน ต้องได้คุยกับลูกค้าตัวจริงบ้าง ได้กระชับความสัมพันธ์ พูดคุยกัน กินข้าวด้วยกัน

เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ทางใจ มิใช่ทางธุรกิจแต่เพียงอย่างเดียว

ถ้ารู้เช่นนี้แล้ว เราควรต้องเริ่มเปิดใจเพื่อรับการเปลี่ยนแปลง ถือเป็นโอกาสที่ดีที่สร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน 

7. Increase Product Line and So on

การเพิ่มสินค้าหรือบริการใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา จะทำให้เราสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้น ได้ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

มีโอกาสใหม่เข้ามาในชีวิตมากขึ้น ธุรกิจก็จะเติบโตมากขึ้น

สินค้าใหม่ จะทำได้ง่ายกว่าสินค้าชิ้นแรก เนื่องจาก การเพิ่มไลน์สินค้า จะใช้ประสบการณ์เดิมในการพัฒนาสินค้า

ทำให้ไม่ต้องปรับตัวมากในการผลิต การตลาด หรือการบริหาร

แต่สิ่งที่ได้รับ คือ ยอดขายของธุรกิจจะเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน หากเราเข้าใจในกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี

จะเห็นได้ว่า หากเราหมั่นคุยกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจของเราย่อมมีสินค้าใหม่มากขึ้น มีการขยายตลาดที่ชัดเจน เนื่องจากเรารู้ความต้องการจริงของลูกค้า และสุดท้ายธุรกิจของเราจะเติบโตอย่างมั่นคงในที่สุด

8. ควบคุมลูกน้อง + ประหยัดค่าใช้จ่าย + เพิ่มระบบ

อย่าลืมว่า กำไรของธุรกิจเกิดจาก รายได้ที่มากขึ้น และรายจ่ายที่น้อยลง

การควบคุมรายจ่ายในแต่ละเดือนให้คงที่ หรือน้อยลง คือสิ่งที่ผู้ประกอบการ SME ควรทำเป็นสิ่งแรก

ธุรกิจย่อมมีความไม่แน่นอน บางช่วงอาจจะดีมาก บางช่วงอาจจะพบเจอวิกฤต

ดังนั้น การควบคุมรายจ่าย ไม่ให้บานปลาย จึงถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจให้ยั่งยืนและแข็งแรง

พยายามหมั่นดูแล และใส่ใจในการควบคุมค่าใช้จ่าย อะไรไม่จำเป็น ขอให้ตัดออก

สุดท้ายคนที่ใส่ใจในรายละเอียดมากที่สุด ย่อมเป็นผู้ชนะในเกมส์ธุรกิจได้อย่างไม่ยากเย็น

สู้ ๆ นะครับ ทุกคน ^^